จะเอาแต่ได้
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “อำนาจวาสนาบารมี”
กราบพระอาจารย์ ในปัจจุบันนี้มีผู้ที่ขวนขวายมุมานะจนได้รับยศถาบรรดาศักดิ์ กลายเป็นผู้มีอำนาจวาสนาบารมี สร้างความภาคภูมิใจให้กับบิดามารดาว่าเป็นผู้มีความฉลาดหลักแหลม เชิดหน้าชูตาให้กับวงศ์ตระกูล
ผู้รู้ทั้งหลายต่างกล่าวว่า เป็นบุญบารมีที่เขาทำมาแต่ชาติปางก่อน ของของเขา ไม่ใช่ของเรา อย่าไปคิดอิจฉาให้เกิดกิเลส ทั้งๆ ที่เขากระทำชั่ว แย่งชิงเราไปโดยไม่คำนึงถึงความผูกพันกันทางสายโลหิต ผู้คนทั่วไปยกย่องสรรเสริญชื่นชมเขาว่าดีงาม เก่งกล้าสามารถ เป็นคนดีที่น่ายกย่อง สมควรที่จะได้รับทรัพย์สมบัติที่เขากระทำชั่วอย่างแยบยลนั้นแล้ว
คำถามคือ การกระทำชั่วเพื่อให้เกิดยศถาบรรดาศักดิ์ รวมถึงทรัพย์สินต่างๆมาเป็นของตน เป็นของที่เกิดจากบุญบารมีที่เขาทำมาแต่ชาติปางก่อนจริงหรือหมายความว่า ถึงเขาไม่ทำชั่ว เขาก็จะได้ทรัพย์สินเหล่านั้นอยู่ดีใช่หรือไม่ เพียงแต่อาจจะช้าหน่อย ไม่ทันใจ เลยต้องรีบก่อกรรมเพื่อให้ได้มา
การทำชั่วของเขานั้นเป็นแรงดึงดูดจากชาติที่แล้วเขาได้เคยครอบครองของสิ่งนั้นหรือไม่ ชาตินี้จึงอยากครอบครองอีก ไร้สาระมาก กราบขอบพระคุณพระอาจารย์
ตอบ : อันนี้ถามหรือด่าเนี่ย อันนี้ถามหรือด่ามา
อันนี้มันเป็นสิ่งที่ว่าอำนาจวาสนา คำว่า “อำนาจวาสนา” มันพูดได้หลายแนวทางไง นี่เป็นคำถามนะ คำถามบอกว่า อำนาจวาสนาบารมีมันมีอยู่จริงหรือแล้วสิ่งที่มันมีอยู่จริงหรือ ที่เขากระทำมันเป็นอำนาจวาสนาบารมีจริงหรือ
อันนี้อำนาจวาสนาบารมีมันเป็นชื่อไง คนทำดีทำชั่ว ถ้าคนทำชั่วมันก็อำนาจวาสนาทางชั่ว ถ้าคนทำความดีก็อำนาจวาสนาทางดีไง เทวทัตกับพระพุทธเจ้าเทวทัต ดูสิ เทวทัตทำอะไรมา เทวทัตแต่ละภพแต่ละชาติกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคู่เวรคู่กรรมกันมาตลอด เห็นไหม พระพุทธเจ้าทำคุณงามความดีมาตลอดๆ เทวทัตก็จองเวรจองกรรมมาตลอดๆ
อำนาจวาสนาก็อำนาจวาสนา ถึงสุดท้ายแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวทัตลงนรกอเวจีไปเลย แต่เวลาสร้างคู่กันมา คู่เวรคู่กรรม มันมีคู่เวรคู่กรรมกันมามันถึงได้มีการบาดหมางกันมาแต่มันก็สร้างกันมาด้วยกันทั้งคู่ มันก็สร้างมาด้วยกันทั้งคู่นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สร้างกันมาเป็นพระโพธิสัตว์ วาสนาก็เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวทัตก็สร้างเวรสร้างกรรมมา ตามเป็นคู่เวรคู่กรรมมาตลอด สุดท้ายเทวทัตกลับลงนรกอเวจีไป
นี่ไง เป็นอำนาจวาสนาบารมีหรือไม่ อำนาจวาสนาบารมีหรือไม่ ผู้ถามมันกดดันตัวเองไง ผู้ถามบอกว่า สิ่งที่ว่าเขามาแย่งชิงเอาไป เขามาทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ มันเป็นอำนาจวาสนาจริงหรือ
ถ้าเป็นอำนาจวาสนาจริง เขาจะมาทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจอยู่หรือ เขาก็ต้องทำคุณงามความดีสิถ้าเขามีอำนาจวาสนาบารมี อำนาจวาสนาบารมีของคนมันสร้างแต่คุณงามความดีใช่ไหม แต่ไอ้นี่มันแบบว่าเขามาแย่งชิงของเราไป เขามาทำเราให้เจ็บช้ำน้ำใจอย่างนี้ มันเป็นอำนาจวาสนาบารมีอยู่หรือ
แล้วก็กลับจะมาย้อนถามศาสนานะ ถามบัญญัติธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ามันจริงหรือ ถ้าเป็นอำนาจวาสนาบารมี เขาก็ต้องมาส่งเสริมเราสิ เขาต้องทำคุณงามความดีเพื่อเราสิ แต่ทำไมเขามาแย่งชิงสมบัติของเราไปถ้าแย่งชิงสมบัติของเราไป มันจะเป็นอำนาจวาสนาบารมีหรือ มันก็เป็นบาปเป็นเวรเป็นกรรมสิ ไอ้นั่นก็เป็นบาปเป็นกรรม
กรณีอย่างนี้ เวลาตำนานนะ ตำนานในภาคอีสาน มันจะมีตำนานพื้นบ้านเรื่องตำนานพื้นบ้านต่างๆ มันมีเยอะแยะไปหมด ทีนี้คำว่า “มีเยอะแยะไปหมด” มันก็เป็นคติสอนใจทั้งนั้นน่ะ มันเป็นคติสอนใจ ถ้าเป็นคติสอนใจ ทีนี้กรรมเป็นอจินไตยๆ คำว่า “เป็นอจินไตย” มันซับซ้อนๆ มามหาศาลเลย
ทีนี้ซับซ้อนมามหาศาล เราจะตัดสินกันทางวิทยาศาสตร์ไง หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง สองบวกสองเป็นสี่ใช่ไหม เราจะเป็นคณิตศาสตร์เลย ต้องเป็นอย่างนี้ๆ แล้วก็คิดกันไง เราก็ลงต้นทุนเลย ทำบุญ ๑ บาท ภาวนา ๕๐ สตางค์ จดไว้เลยนะ มันจะให้ออกมาเป็น ๑ บาท ๕๐ สตางค์
แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ความจริง ดูสิ คนขิปปาภิญญาเขาสร้างของเขามาเขาทำของเขา เขาลงทุนแค่ ๑ สตางค์ เขาได้เป็นล้านเป็นแสน เขาได้เป็นล้านสิบๆ ล้าน เขาได้มหาศาลเลย เวลาเขาทำ ขิปปาภิญญามันทำมันเป็นไปได้ อันนั้นมันเป็นไปได้ นี่พูดถึงในทางธรรมนะ แต่เวลาในทางโลก ทางโลกเป็นคณิตศาสตร์ ทำดีต้องได้ดี แล้วทำดีจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่าต้นทุนมันมามันแตกต่างกันไง ต้นทุนมามันแตกต่างกัน
ทีนี้คำว่า “อำนาจวาสนาบารมีมันมีอยู่จริงหรือ”
ถ้ามันไม่มีอยู่จริง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนทำไมสอนทำไม สอนให้พวกเราทำคุณงามความดีกัน แล้วทำคุณงามความดี ความดีจะตอบสนองเรา ถ้าคุณงามความดีตอบสนองเรา
ทีนี้ผู้ถาม ผู้ถามว่าตัวเองเป็นผู้โดนกระทำ โดนกระทำ เราก็ทำความดีของเราแล้ว แล้วอำนาจวาสนาบารมีจะมีอยู่จริงหรือ
ถ้ามีอยู่จริงหรือ สิ่งที่ทำมานี่มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระ มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระ ถ้าเรื่องไร้สาระ คนหัวใจที่ไม่เป็นสาระ ถ้าเรื่องที่มันเป็นสาระมันจะมีสาระมาก ถ้ามีสาระ มันถึงต้องย้อนกลับมา ต้องย้อนกลับมาคำถามไง คำถามคำปรารภสิ่งที่ว่า“ในปัจจุบันนี้มีผู้ที่ขวนขวายมุมานะจนได้ยศถาบรรดาศักดิ์ กลายเป็นผู้ที่มีอำนาจวาสนาบารมี สร้างความภาคภูมิใจให้กับบิดามารดา”
สร้างความภาคภูมิใจให้กับบิดามารดา สร้างความผูกพันไว้ให้กับสังคมสร้างความผูกพันไง ดูสิ เวลาวิกฤติเกิดภัยแล้ง เกิดภัยแล้ง เขารวมตัวกัน แล้วมีผู้นำคนหนึ่งเขาพยายามหาแหล่งน้ำ ถ้าเขาหาแหล่งน้ำจนแหล่งน้ำเข้าไปอยู่ในชุมชนนั้นได้ เขาไปแก้วิกฤติภัยแล้งในชุมชนนั้นได้ อันนี้เขามีบารมีไหม เขามีอำนาจวาสนาไหม นี่ไง เวลาถ้าเขาทำประโยชน์ของเขาอย่างนั้นมันก็เป็นประโยชน์ของเขาอย่างนั้นใช่ไหม
ถ้าเขาสร้างอำนาจวาสนาบารมีเพื่อให้บิดามารดาภูมิใจ ให้ชาติตระกูลของตนภูมิใจ ความภูมิใจนั้น ก็โลกคิดกันอย่างนั้นไง มันถึงเป็นปัญหาของเด็กน้อยเนาะ เรียนหมอเนาะ โอ๋ย! มันปวดหัวเลย มันจะเรียนทันไหม มันต้องเรียนหมอ ก็เป็นความคาดหวังของพ่อแม่ไง
นี่ไง เขาบอกว่า ทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ ถ้าพ่อแม่ภาคภูมิใจ ความปรารถนาของพ่อแม่ก็กดดันลูก พอกดดันลูก ลูกก็ต้องทำเพื่อพ่อแม่ เพื่อความสำเร็จของพ่อแม่ แต่ความเป็นจริงมันก็ทำเพื่อพ่อแม่อยู่แล้ว แต่ถ้าพ่อแม่ไม่กดดันล่ะ เด็กมันอยากเป็นของมันเอง เด็กมันมีไอคิวของมัน มันเรียนหมอโดยเรื่องเล็กน้อย เพราะมันมีปัญญาของมัน ไอ้นี่มันก็เป็นวาสนาของเขา เพราะเขาไม่มีความกดดัน ชีวิตของเขาร่มเย็นเป็นสุขไง ชีวิตของเขาไม่ต้องมีใครมาบงการชีวิตของเขาไง
จะบอกว่า กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน การที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ อภิชาตบุตร บุตรที่ดีกว่าพ่อกว่าแม่ บุตรที่เกิดมาทำลายพ่อแม่ มีร้อยแปด เวลาเวรกรรมอย่างนั้นมันเป็นเวรกรรมอย่างนั้นนะ ฉะนั้น พอเวรกรรมอย่างนั้น นี่พูดถึงอำนาจวาสนา
“ให้ชื่นชม พ่อแม่ชื่นชม พ่อแม่ว่าเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลม เป็นผู้ที่เชิดหน้าชูตาวงศ์ตระกูล ผู้รู้ทั้งหลายต่างกล่าวว่า เป็นบุญบารมีที่เขาทำมาแต่ชาติปางก่อนของเขา ไม่ใช่ของเรา อย่าไปคิดอิจฉาให้เกิดกิเลส ทั้งๆ ที่การกระทำแย่งชิงไปจากเราโดยที่ไม่คำนึงถึงความผูกพันทางสายเลือด”
การแย่งชิง คำว่า “แย่งชิง” นะ มันเหมือนในบ้านเรา ในบ้านเรา ในธุรกิจตอนนี้นะ ทางธุรกิจเขาบอกว่า ถ้าพ่อแม่สร้างรากฐานความมั่นคงของธุรกิจได้ จะอยู่ได้อย่างมาก ๓ ชั่วอายุคน แล้วมันก็จะเสื่อมไป นี่พูดถึงว่าธุรกิจในครอบครัวแต่ตอนนี้เขาเป็นมืออาชีพ เขาจะจ้างมืออาชีพเข้ามาบริหาร เขาทำของเขาไปแล้วธุรกิจ ลูกศิษย์ของเรา เขาก็บอก “หลวงพ่อ ธุรกิจเดี๋ยวนี้นะ มันอยู่แค่วันต่อวันนะ พรุ่งนี้นะ รุ่งเช้าขึ้นมา ธุรกิจเราอาจจะสูญหายไปเลยก็ได้นะ” นี่พูดถึงว่าในมุมมองของผู้ที่บริหารไง
นี่ก็เหมือนกัน บอกว่า เราก็ดูแลของเราอยู่นี่ เขามาแย่งชิงของเราไป ว่าเป็นอำนาจวาสนาชาติปางก่อน
มันเป็นความคิด ไอ้นี่มันเป็นทิฏฐิเป็นความเห็นของคนคนเดียวไง ถ้าพูดถึงเรา ถ้าเขาแย่งชิงจากเราไป เราเป็นผู้ที่จัดการอยู่ ถ้าเขาแย่งชิงของเราไป เขาแย่งชิงของเราไป ถ้าเขาทำได้ดี เขาจะพัฒนาขึ้นในมุมมองของเขา ในมุมของเขาเขาบอกว่าในการบริหารจัดการมันควรจะบริหารจัดการได้ดีกว่านี้ แล้วถ้าเขาเอาสิ่งนั้นไปบริหารจัดการ มันจะดีขึ้นหรือมันจะเลวลงล่ะ แต่เราก็บอกว่าต้องอยู่กับเราๆ
มันก็เป็นมุมมองนะ มันเป็นมุมมอง แต่ว่าเวลาพูด ที่เราพูดนี่เพราะเขาพูดถึงว่ามันเป็นอำนาจวาสนาบารมีจากชาติปางก่อนจริงหรือ
ไอ้คำพูดคำนี้ ไอ้คำพูดคำนี้ที่เราจะพูดอยู่นี่ มันมีอยู่จริงหรือ มันมีชาติที่แล้วอยู่จริงหรือ มันเป็นอำนาจวาสนามาแต่ชาติที่แล้วจริงหรือ แล้วมันมีผลกับชาตินี้จริงหรือ แล้วมันจะมีผลชาติต่อไปจริงหรือ
ถ้ามันจริงไม่จริง จริงไม่จริงมันก็อยู่ตรงนี้แหละ อยู่ที่ว่าถ้าคนที่ภาวนาไปแล้วมันจะรู้จะเห็นของมัน จะรู้เห็นของมัน
กรณีอย่างนี้กรรมเก่ากรรมใหม่ทั้งนั้นน่ะ ในสมัยพุทธกาลที่พระไปภาวนาจะมีปัญหาไปถามพระพุทธเจ้าเยอะแยะไปหมด ทีนี้เวลาไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบอกเลย เมื่อชาตินั้นๆ เขาได้มีเวรมีกรรมต่อกันอย่างนั้น ผลชาติที่แล้วมันก็ให้ผลอย่างนั้น เวลาผลต่อมาชาตินี้มันจะให้ผลอย่างนี้ นี่ก็ให้ผลมาต่อเนื่องมาจนเป็นปัจจุบันนี้
แล้วปัจจุบันนี้ แต่ส่วนใหญ่แล้วที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์พยากรณ์พระผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ไง มาถึงชาติปัจจุบันนี้มันถึงสิ้นสุดไปอย่างนี้ สิ้นสุดไปอย่างนี้ ถ้าสิ้นสุดไปอย่างนี้ปั๊บ มันก็แล้วไปต่อกันน่ะ มันไม่มีผลผูกพันกันไปไง ถ้ามีผลผูกพันต่อกันไป พระพุทธเจ้าไม่ค่อยจะพยากรณ์ เพราะพยากรณ์ไปแล้วถ้ามันไปสร้างให้อีกคนหนึ่ง มันจะหนักขึ้นไปเรื่อยๆ ไง
นี่ก็เหมือนกัน เขาบอกว่า สิ่งที่เขาทำ พ่อแม่เชิดชู คนรอบข้างว่าเป็นสมบัติของเขาๆ
พูดถึงเรานะ นี่พูดถึงตามความเป็นจริง ถ้าพูดถึงว่าเขามาแย่งชิงเราไป เขามาแย่งชิงเราไป เขาแย่งชิงไปได้อย่างไรล่ะ ถ้าเขาแย่งชิงไปมันก็ไม่เป็นความยุติธรรมน่ะสิ มันต้องมีความยุติธรรมสิ พ่อแม่ที่เป็นธรรมเขาต้องมีความยุติธรรม ถ้ายุติธรรม ถ้ามันแย่งชิง แย่งชิงอย่างไร เว้นไว้แต่เขามาตกลงกันเปลี่ยนมือ ถ้าเปลี่ยนมือให้คนอื่นเขาบริหาร ไอ้นี่เราว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ
ฉะนั้น แล้วว่าคนอื่นเขาเชิดชูๆ
เชิดชูนี่มันก็เป็นเรื่องของเขา เราจะบอกว่านะ ดูสิ ดูกระแสสังคม กระแสสังคม ฝ่ายหนึ่ง กลุ่มชนหนึ่งมองว่าเขาเป็นคนไม่ดี แต่อีกชุมชนหนึ่งเขาก็ดูว่าเขาเป็นคนดี ถ้าเขาเป็นคนดีเพราะอะไร เพราะเขาหาผลประโยชน์ให้กับชุมชนนั้นเขาทำเพื่อประโยชน์กับชุมชนนั้น แต่ชุมชนอื่นเขาเห็นว่าเป็นคนไม่ดี นี่ไง กรรมที่มันแตกต่างกันไปมาก เราจะบอกให้มันเสมอภาคๆ
คนเราความรู้สึกนึกคิดมันแตกต่างกัน วุฒิภาวะของคนแตกต่างกัน ความเห็นแก่ตัวหยาบมากน้อยแตกต่างกัน ความเห็นแก่ตัว อย่างเรานี่เราเป็นคนได้รับบริจาค ถ้าเราไม่เห็นแก่ตัว ของนั้นไม่รับๆๆ ให้คนอื่น แบ่งปันให้คนอื่นๆ นี่ไง ถ้ามันไม่เห็นแก่ตัว แต่ถ้ามันเห็นแก่ตัว เท่าไรมันกว้านหมดน่ะ กว้านไม่พอ มันจะเอาให้มากกว่านี้อีกต่างหาก มันอยู่ที่ว่าคนมันเห็นแก่ตัวหรือไม่เห็นแก่ตัว ถ้าเห็นแก่ตัว มุมมองมันก็แตกต่างกัน นี่เราพูดถึงมุมมองนะ
มุมมองส่วนมุมมอง แต่ไอ้เรื่องชาติปางก่อนส่วนชาติปางก่อน ชาติปางก่อนสิ่งที่ว่าเขามีอำนาจวาสนาบารมีมา
คำว่า “อำนาจวาสนาบารมี” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้บัญญัติแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำมาเป็นพระโพธิสัตว์ก่อน พอเป็นพระโพธิสัตว์แล้ว เวลาสำเร็จแล้วเป็นพระอรหันต์ เป็นศาสดา มีแต่คนชื่นชม เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้า คนถึงทำบุญกุศลกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใช่ ในปัจจุบันนี้เพราะคนมีศรัทธามีความเชื่อถึงได้มาทำ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ความจริงแล้วเป็นสมบัติของท่าน ท่านทำของท่านมา ท่านได้เสียสละชีวิตมา เป็นลิง สละชีวิตเพื่อให้ฝูงลิงพ้นจากการล่าของนายพราน เป็นกวางนะ พรานเขาล่ากวาง ท่านวิ่งเข้าไปให้ยิง แล้วให้ฝูงกวางหนีเอาตัวรอด ท่านทำของท่านมาเยอะแยะเลยพระพุทธเจ้าทำมาทั้งนั้นน่ะ
นี่พูดถึงเขาทำของเขามา ทำของเขามา มันถึงว่าถึงเวลาแล้วมีคนไปเชื่อถือศรัทธา มีคนไปทำบุญกุศลมหาศาล นี่ไง อำนาจวาสนามันมีอยู่จริงหรือเปล่าล่ะแล้วมันเป็นชาติที่แล้วๆ เขาทำของเขามาคือโอกาส อย่างเรามีวาสนามากเลยชาติที่แล้วเราทำมามหาศาลเลย ชาตินี้เราเกิดมาเรานอนเฉย เราจะรอให้วาสนามาถึงเรา ไม่มีหรอก
มันมีอย่างนี้ไง มันมีกรรมเก่ากรรมใหม่ไง กรรมเก่าคือเจตนา คือสิ่งที่เราเคยมีของเรามา เราทำมาเป็นเจตนา เป็นความรู้สึกนึกคิด คือว่าเป็นนิสัย แล้วพอมาชาติปัจจุบันนี้เราก็เป็นคนที่เข้มงวด เป็นคนที่แข็งขัน เป็นคนที่ขวนขวาย ไอ้วาสนานั้นมันก็มาส่ง
วาสนามันมีนะ คนมีวาสนา เห็นไหม ในทางการกีฬาเขาบอกว่ามีพรสวรรค์มีพรสวรรค์มาแล้วมันไม่ฝึกซ้อมเลย มีพรสวรรค์มาแล้วมันก็บอกว่ามันมีพรสวรรค์ แต่มันไม่ฝึกเลยนะ ในทางกีฬานะ มันมีเบ็คแฮมคนหนึ่ง กับตอนนี้โรนัลโด โค้ชของเขามาพูดให้สัมภาษณ์ประจำ เขาฝึกซ้อมกันเสร็จ เขากลับหมด มีไอ้ ๒ คนนี้มันยังเตะแล้วเตะอีก เตะแล้วเตะอีก มันฝึกของมันทั้งวันทั้งคืนน่ะ มันฝึกของมัน มันฝึกพิเศษ ฝึกต่างหาก
เขาฝึกในคอร์สที่เขาฝึกกัน เสร็จแล้วนักกีฬาเขาจะกลับ มีไอ้ ๒ คนนี้มันจะฝึกเตะฟรีคิก เตะจนมันชำนาญมาก นี่ไง มันมาจากไหนล่ะ ก็มันมาจากมันพยายามฝึกฝนของมัน แล้วพอมันฝึกฝนของมันแล้วมันก็เป็นนักกีฬาที่มีราคาแพงที่สุดนะ ได้รองเท้าทองคำ มันเกิดมาจากอะไรล่ะ เกิดมาจากการฝึกฝนของเขาเกิดมาจากความวิริยอุตสาหะของเขา เขาพยายามทำของเขา เขาก็มีชื่อเสียงระดับโลกเลย มันเกิดมาจากพรแสวงไง เขามีพรสวรรค์อยู่แล้ว แต่เขาต้องฝึกฝนของเขา
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน อำนาจวาสนามันเป็นส่วนหนึ่ง อำนาจวาสนามันเป็นส่วนที่ให้เรามีโอกาส แต่จริงๆ แล้วถ้ามีอำนาจวาสนา ก็คนมีอำนาจวาสนาเยอะแยะคนทำบุญมามหาศาลเลย แต่มาในชาติปัจจุบันแล้วก็เช้าชามเย็นชาม ชีวิตฉันก็ของฉัน ฉันก็มีวาสนาของฉัน มันก็อยู่แค่นั้นน่ะ แต่ถ้าเขามีวาสนามาแล้วเขาขวนขวายของเขา เขาทำของเขา เพราะวาสนานั้นมันส่งเสริม เขาทำของเขา มันก็ได้ไง
คำว่า “อำนาจวาสนา” นี่กรรมเก่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงปัจจุบันกรรม สอนถึงปัจจุบันนี้ ไอ้กรรมเก่ามันตัวเสริม ถ้ามันตัวเสริม คือมันเหมือนอดีต เราไม่ได้ใช้ประโยชน์ มันก็อยู่แค่นั้นน่ะ ถ้าเราใช้ประโยชน์ มันจะกระตุ้นให้การกระทำของเราเฟื่องฟูขึ้น แต่ถ้าเราไม่ทำ มันก็แค่นั้นน่ะ
คนมีพรสวรรค์เยอะแยะไป ดูสิ ไม่ใช่นักร้องเสียงดีๆ เต็มไปหมดเลย คนเสียงดีไม่ได้เป็นนักร้อง อู้ฮู! ค่อนประเทศนะ เพราะเขาไม่มีโอกาส นี่คือวาสนาไงแต่เขาไม่ได้เสริมต่อในปัจจุบันนี้ไง แต่เขามีวาสนาของเขา แล้วปัจจุบันนี้เขามีโอกาสของเขา แล้วเขาเสริมของเขา โอ้โฮ! เขาเป็นนักร้องมีชื่อเสียงเลย นี่พูดถึงอำนาจวาสนาบารมีไง
ฉะนั้น อำนาจวาสนาบารมีอย่างหนึ่ง ทีนี้อำนาจวาสนาบารมีอย่างหนึ่ง แล้วประสาคน ถ้าคนที่เป็นธรรมนะ เขามีอำนาจวาสนาบารมีแล้วเขาจะอ่อนน้อมถ่อมตน ถ้าคนมีอำนาจวาสนาบารมีแล้วอหังการนี่อยู่ได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวมันก็เสื่อมเพราะคนเขาก็เบื่อหน่ายไปเอง
แต่คนที่มีอำนาจวาสนานี่มันอยู่ในหัวใจนะ แล้วรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน การอ่อนน้อมถ่อมตนมันเป็นกิริยาที่น่ารัก มันเป็นกิริยาที่สังคมเขาเชิดชู แล้วเรามีปัญญา คนมีปัญญาเขาไม่ค่อยระรานใครนะ คนมีปัญญาเขาจะเก็บไว้ ถ้ามีเหตุการณ์ขึ้นมา เขาจะใช้ปัญญาของเขา แล้วขณะใช้ปัญญา เขาเรียกว่าวิกฤติสร้างโอกาสไง ถ้ามีวิกฤติให้เขาได้ใช้ปัญญา มีวิกฤติให้เขาได้แสดงออก เขาได้แสดงออกนั้น คนนั้นมีปัญญา สังคมจะยอมรับคนอย่างนั้น
ไม่ใช่ว่ามีปัญญาก็เหมือนขวานเล่มหนึ่ง ถากเขาไปทั่ว เยาะเย้ยถากถางเขาไปทั่วบ้านทั่วเมือง เขามีวิกฤติเขายังไม่ขอพึ่งตัวเลย เพราะเขาไม่ต้องการเข้าไปหาคนอย่างนั้น นี่พูดถึงว่าคนรู้จักคิดนะ
“ผู้คนทั่วไปยกย่องสรรเสริญชื่นชมว่าเขาดีงาม เก่งกล้าสามารถ เป็นคนที่น่ายกย่อง สมควรได้รับทรัพย์สมบัติที่เขากระทำชั่วอย่างแยบยลนั้น”
ถ้าเขาทำกระทำชั่วอย่างแยบยลนั้น มันก็เป็นบาปของเขา การทำนะ การกระทำ กรรมคือการกระทำ ทำดีทำชั่ว ถ้าเขาทำชั่ว มันก็ได้ผลของความชั่ว ถ้าเขาทำดี เขาก็ต้องได้ผลของกรรมดี
คน พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้เด็ดขาด เด็ดขาด ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครทำความชั่วต้องได้ผลของความชั่วนั้น ใครทำคุณงามความดีต้องได้ผลของคุณงามความดีนั้น
ฉะนั้นบอกว่า “สิ่งที่เขากระทำมา ผลของการทำชั่วของเขาด้วยความแยบยลเขาถึงได้อำนาจวาสนาบารมีอย่างนั้น เขาถึงได้สิ่งที่สังคมเชิดชูนั้น”
ทีนี้สังคมเชิดชูนั้น ถ้าคนที่เขารู้นะ คนที่เขารู้ คนที่เขาอยู่ด้วยกัน เห็นไหมธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ศีล เราจะรู้ได้เลยว่าเรามีศีล ๕ ศีล๘ ศีล ๑๐ ต่อเมื่อเราอยู่ด้วยกัน ถ้าศีล ๘ ตอนนี้เอ็งไม่ต้องกินข้าวเย็น ถ้าเอ็งกินข้าวเย็น เอ็งก็ไม่ใช่ศีล ๘ เออ! ศีลจะรู้ได้ต่อเมื่ออยู่ด้วยกันนะ นี่ไง แล้วธรรมะจะรู้ได้ รู้ได้ต่อเมื่อแสดงธรรม ธรรมะจะรู้ได้ต่อเมื่อมีวิกฤติ เราจะมีปัญญาเอาตัวรอดได้หรือไม่ ฉะนั้น ถ้ามันเป็นความดี มันก็เป็นความดี ถ้าเป็นความชั่ว มันก็เป็นความชั่ว
ทีนี้กุศลทำให้เกิดอกุศล กุศลไง คนทำดีมา แต่อยากดังอยากใหญ่ ทำให้เกิดอกุศล ในวงการพระมีมากเลย เวลาอยากได้ยศถาบรรดาศักดิ์ เหยียบหัวกันขึ้นไป
เหยียบหัวได้อย่างไร สมเด็จญาณฯ สมเด็จพระสังฆราชท่านจะได้เป็นสังฆราชตั้งแต่ครั้งแรก ในหลวงจะตั้ง ท่านบอกว่าท่านไม่ยอมรับตำแหน่ง ท่านจะให้สมเด็จวัดราชบพิธเป็นก่อน เพราะสมเด็จวัดราชบพิธเป็นอาจารย์ของท่านสมเด็จวัดราชบพิธเป็นอาจารย์สอนบาลีสมเด็จญาณฯ นะ
แล้วถึงคราวหนึ่ง สมเด็จญาณจะได้รับการเสนอชื่อเป็นสมเด็จพระสังฆราช นี่เราฟังวงในเขาคุยกันน่ะ เขาบอกว่าสมเด็จญาณฯ บอกกับทางในวังบอกว่าท่านไม่ขอรับตำแหน่ง ถ้าท่านขอรับตำแหน่ง ท่านทำใจไม่ได้ ท่านทำใจไม่ได้เพราะว่าอาจารย์ของท่าน สมเด็จวัดราชบพิธ อาจารย์ของท่าน ท่านจะมียศที่ใหญ่กว่าอาจารย์ของท่าน ท่านทำใจไม่ได้ ทางราชวังก็เลยต้องตั้งสมเด็จวัดราชบพิธเป็นสังฆราชไง แล้วสุดท้ายก็มาตั้งสมเด็จญาณฯ เป็นองค์ต่อมาไง
ถ้าเป็นธรรมๆ เขาไม่เหยียบย่ำกันขึ้นไป ถ้าเป็นคุณงามความดีๆ มันเป็นความดีอย่างนี้ เพราะเขาทำคุณงามความดีกันอย่างนี้ เขาจะได้ยศถาบรรดาศักดิ์เขารับไม่ได้ว่าเขาจะมีอำนาจปกครองอาจารย์ของเขา เขาทำใจไม่ได้ สมเด็จญาณฯ ท่านรับอันนี้ไม่ได้ ก็เลยต้องตั้งองค์นั้นขึ้นไป
นี่พูดถึงเขาบอกว่า “ผู้คนเขายกย่องสรรเสริญ ชื่นชมความดีงาม เก่งกล้าสามารถ เป็นคนดีที่น่ายกย่อง สมควรที่ได้รับทรัพย์สมบัตินั้นที่เขากระทำชั่วอย่างแยบยลแล้ว” นี่พูดถึงคนถามไง
ถ้าเขาทำความชั่ว มันก็เป็นความชั่วของเขา ทำชั่วมันต้องให้กรรมชั่ว กรรมดีต้องให้กรรมดี ถ้าพูดอย่างนี้มันก็เป็นมุมมองของผู้ถามหรือเปล่า แล้วถ้าพูดถึงสังคมที่เขายกย่องสรรเสริญ สังคมทั้งสังคมมันไม่มีคนฉลาดเลยหรือ คนที่เขาสรรเสริญเขาจะไม่มีคนฉลาดเลยหรือ
อย่างเรา เห็นไหม ในทางการเมืองเขาบอกว่าอย่ายกมือไหว้คนชั่วนะ คนคอร์รัปชัน อย่ายกมือไหว้มัน เห็นยกมือกันแป๋เลย เขาบอกนะ อย่ายกมือไหว้อย่ารับไหว้ไอ้พวกคอร์รัปชันน่ะ อย่ายกมือไหว้มัน เห็นมันมาล่ะยกมือกันเป็นแถวเลย ไม่มีใครไม่ยกมือเลย เขาบอกว่าอย่ายกมือไหว้คนชั่ว ไอ้พวกคอร์รัปชัน อย่าไปรับไหว้มัน มันเดินผ่านมา แหม! ยกมือกันแป้หมดเลย นี่ไง ก็รู้ๆ อยู่ว่ามันคอร์รัปชัน ทำไมยกมือไหว้มันล่ะ ก็กลัวอำนาจเขา โลกมันเป็นอย่างนี้ อยู่กับโลก
แต่ถ้าคนที่มีคุณธรรมเขาไม่สนใจ ถ้าคนมีคุณธรรม ครูบาอาจารย์ของเราจะอยู่ป่าอยู่เขา อยู่ผู้เดียว อยู่ผู้เดียวที่ไหน เอาความจริงอย่างเดียว ปฏิบัตินี้เอาความจริงอย่างเดียว ถ้าจริง มันต้องปฏิบัติอย่างนี้
แต่ถ้ามันไม่จริง เราจะบอกว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อำนาจวาสนาบารมีของคนมันเป็นสิ่งที่ดีงาม คนเราต้องอาศัยความดีงามเป็นทางเดิน ไม่อาศัยความชั่วเป็นทางเดิน แต่ถ้าอาศัยความดีงามเป็นทางเดิน แต่ในเมื่อเรามีปัญหาในครอบครัวหรือในบริษัทอะไรของเรา มันเป็นเวรกรรมของสัตว์
บัณฑิต เวลาทุกข์ของบัณฑิตคืออยู่กับคนพาล คนพาลหน้าด้านนี่บัณฑิตกลัวที่สุด ความทุกข์ มันเป็นความทุกข์ อยู่ใกล้คนพาลเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง อยู่ใกล้คนพาล ไม่อยากอยู่ใกล้คนพาล อยากอยู่ห่างๆ นี่ไง นี่พูดถึงในสายตาของเราไง
ในสายตาของเขา เขาพูดอย่างนี้ ทีนี้คำถาม “การทำชั่วเพื่อให้ได้ยศถาบรรดาศักดิ์นั้น รวมถึงทรัพย์สินต่างๆ มาเป็นของตน เป็นของที่เกิดจากบุญบารมีที่เขาทำมาแต่ชาติปางก่อนจริงหรือ”
บารมีแต่ชาติปางก่อน คนเรา กุศลทำให้เกิดอกุศล อกุศล คนเราคิดชั่ว เห็นไหม ดูสิ เทวทัตจ้างพวกนายแม่นธนูไปฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาไปถึง จ้างไปฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เทวทัตน่ะ ไปถึง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ บวชหมดเลย
เขาตั้งใจไปฆ่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเทศนาว่าการจนเขาวางคันธนู แล้วเขาขอบวช พอขอบวชเสร็จแล้วเทศน์สอนจนเขาได้เป็นพระอรหันต์น่ะ นี่ไง อกุศลทำให้เกิดกุศลไง อกุศล เราจะไปฆ่าเขา แต่ไปฆ่าเขา ไปเจอคุณงามความดี ไปเจอธรรมะของท่านน่ะ วางเลยนะ มันได้สำนึก สำนึกเสร็จแล้วนะ ขอบวช ขอบวชเสร็จแล้วท่านเทศนาว่าการจนได้เป็นพระอรหันต์นะ นี่อกุศลทำให้เกิดกุศลสิ่งนั้นน่ะ
ไอ้นี่เหมือนกัน กุศลทำให้เกิดอกุศล จะไปวัดไปทำบุญ พอไปทำบุญ ไปถึง“โอ้! ไม่น่าทำเลย วัดนี้ไม่ดี นู่นก็ไม่ดี” กุศลนะ ใจจะไปดี แต่ไปจับผิด ถ้าไปจับผิดนะ พอการจับผิด สายตาของเราไง
เวลาหลวงตาท่านพูดถึง เวลาหลวงปู่มั่น เวลาหลวงตาท่านเทศนาว่าการเวลาท่านออกอย่างนั้นเขาเรียกธรรมออก เวลาธรรมมันออกนะ ทางเดินของธรรมออกมาทางขันธ์ ๕ ออกมาทางรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ออกมาทางนั้นน่ะ มันออกมา เพราะอะไร เพราะว่ามันแสดงธรรมออกมา ทีนี้แสดงออกมา มันออกมา ถ้าธรรมที่มันเข้มข้น เข้มข้นก็เสียงดังฟังชัด
ไอ้เราเข้าไปนะ “โอ้โฮ! เฮ้ย! อารมณ์อย่างนี้กูก็มีนะ ไอ้โกรธบ้าๆ อย่างนี้กูก็มี ทำไมกูต้องมาฟังอย่างนี้ด้วยวะ”
ทั้งๆ ที่มาเป็นกุศลนะ ตั้งใจมานะ แต่ฟังธรรมไม่เป็น ไม่รู้จักธรรมะเป็นอย่างไรไง พอมาเจอเสียงดังๆ เข้า “โอ้! เฮ้ย! ไอ้นี่มันโทสะล้วนๆ เลยนี่หว่า เฮ้ย! ไอ้นี่มันโกรธเว้ย”
กุศลแท้ๆ เลย เราจะบอกว่า วุฒิภาวะของคนนี่นะ ถ้ามันไม่ถึง มันฟังไม่รู้ มันฟังไม่เข้าใจหรอก แต่ถ้าเวลาคนมันถึงนะ เวลาหลวงตานะ เวลาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น ท่านบอกว่า ถ้าใครไปถามปัญหาหรือมีปัญหาขึ้นมา หลวงปู่มั่นเริ่มเสียงดังขึ้นมา ท่านบอกเลย ฟ้าร้องๆ พอฟ้าร้องเดี๋ยวฝนมันจะตก พอฟ้าร้องขึ้นมา เมฆหมอก ฟ้าร้อง เสียงดังฟังชัดนะ โอ้โฮ! ทุกคนจะเข้าไปหาเลย เข้าไปหาเพราะจะไปฟังธรรมอันนั้นไง
นี่พูดถึงว่า ถ้าวุฒิภาวะของเรามันไม่ถึง เราเข้าใจเรื่องอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าเข้าใจเรื่องนี้ไม่ได้ปั๊บ มันเป็นกุศลนะ ตั้งใจ ตั้งใจ ทุกข์ร้อนมาก อยากหาคุณงามความดี อยากจะประพฤติปฏิบัติธรรม พอไปแล้ว พอไปเจอออดอ้อนฉอเลาะอย่างนั้นน่ะชอบ ไอ้ปลิ้นกระเป๋ามาอย่างนั้นน่ะชอบ ไอ้ล้วงกระเป๋าอย่างนี้ เออ! “ทำบุญเยอะๆจะได้บุญเยอะๆ” โอ๋ย! ชอบ เปิดกระเป๋าเลยนะ มีเท่าไร อย่างนั้นชอบ
พอไปเจอครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมท่านซัดเปรี้ยงๆ เปรี้ยงๆ นั่นคืออะไรล่ะธรรมโอสถฟาดฟันกิเลสบนหัวใจของสัตว์ กิเลสบนหัวใจของสัตว์มันครอบครองหัวใจของสัตว์นั้น สัตว์นั้นไม่รู้จักว่ามันเป็นกิเลส มันถึงมีอำนาจครอบครองบนหัวใจนั้น เวลาท่านฟาดฟันไอ้กิเลสบนหัวใจดวงนั้น มันกลับไม่พอใจ มันกลับว่าไปด่ามันน่ะ มันกลับว่าไปว่ามันน่ะ
เหมือนหมอเลย หมอเวลาฉีดยานี่เจ็บฉิบหายเลย เวลาผ่าตัดนี่โคตรเจ็บเลยแต่หายนะ เวลาไปหาหมอ ไม่ให้หมอฉีดยานะ หมอทำอะไรก็ไม่ได้ หมอโหดร้ายหมอไม่รัก ถ้าหมอรัก เขาต้องดูแลอย่างดี นี่วุฒิภาวะของเขา
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เขาทำมาอย่างนี้ คำถาม “การทำความชั่วเพื่อได้ยศถาบรรดาศักดิ์มา”
การทำความชั่วเพื่อได้ยศถาบรรดาศักดิ์มา การซื้อขายตำแหน่ง การแย่งชิงกันมา มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีงามทั้งนั้นน่ะ แต่มันมีอย่างนี้นะ มันมีตาอินกับตานา ๒ คนมันแย่งกันไง พอ ๒ คนมันแย่งกัน มีกลุ่มชนที่เขาแย่งชิงตำแหน่งกัน ผู้ที่ปกครองเขาให้ใครไม่ได้ ให้บุคคลที่ ๓ ถ้าบุคคลที่ ๓ เขาได้มาอย่างนี้ นี่สะอาดบริสุทธิ์
ตาอินกับตานานะ ถ้าพูดถึงคนที่เขาเป็นผู้ที่บริหารนะ เป็นผู้ที่ดี เขาจะให้คนที่คุณงามความดีทำดีอยู่แล้ว แต่ให้ไปแล้วมันมีปัญหาขึ้นมา ถ้ามีปัญหาขึ้นมา ถ้าเขามีอำนาจการควบคุมได้ เขาควรทำอย่างนั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาไม่ค่อยทำอย่างนั้น เพราะเวลามันเป็นเรื่องของสังคมมันจะออกไปอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเรื่องของสังคมออกไปอีกอย่างหนึ่ง นั่นเรื่องของสังคม
แต่ถ้าเราคิดว่าเขาทำชั่วเพื่อได้ยศถาบรรดาศักดิ์มา ไอ้นั่นมันเป็นกรรมของเขา มันเป็นการได้มาด้วยทุจริต ไม่ใช่สุจริต สิ่งที่ได้มาด้วยทุจริต ไม่สุจริต เห็นไหม เวลาเราเป็นชาวพุทธ เรามาประพฤติปฏิบัติกัน เราจะใช้ปัญญาชอบ สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบก่อน ถ้าความเห็นมันบิดเบี้ยว การได้มาด้วยความชั่ว การได้มาโดยการทุจริต นี่เริ่มต้นจากการทุจริต เริ่มต้นจากมิจฉา แล้วมรรคผลจะเกิดไหม มรรคผลมันจะเป็นสัมมาหรือจะเป็นมิจฉา มันจะเป็นสัมมาสมาธิหรือจะเป็นมิจฉาสมาธิ มันจะเป็นมรรคหรือมันเป็นกิเลส มันเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา เริ่มต้นก็เริ่มต้นอย่างนี้ ถ้าเริ่มต้นอย่างนี้มันก็มีสติมีปัญญา
ฉะนั้น สิ่งที่ว่า สิ่งที่เขาทำความชั่วมาเพื่อแย่งชิงยศถาบรรดาศักดิ์มา ได้แสวงหาทรัพย์มาเป็นของของตน ถ้ามันเป็นมิจฉา เป็นการฉ้อโกง เป็นการทำความชั่ว มันต้องให้ผลเป็นบาปอกุศลแน่นอน แล้วเมื่อไหร่ล่ะ
คนที่มีอำนาจหมดอำนาจเมื่อไหร่ เขาต้องลี้ภัยนะ คนที่มีอำนาจหมดอำนาจคนที่ฉ้อโกงมาลงจากตำแหน่ง เขาต้องตั้งคนของตนขึ้นมาเพื่อจะมาเช็ดขี้ของตนน่ะ นี่เขาทำผิดเขาก็รู้ เขาต้องตั้งคนของเขามาดูแลเพื่อปกป้องดูแลเขา พูดถึงถ้าเขาทำความชั่วนะ แต่ถ้าเขาทำความดีล่ะ เวลาเขาพ้นจากตำแหน่งไป โอ๋ย! ทุกคนยังชื่นชมเขา ทุกคนยังคิดระลึกถึงเขา ครูบาอาจารย์ที่ล่วงไปแล้ว ทุกคนคิดถึงทั้งนั้นน่ะ
นี่พูดถึงว่า เขาทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว เขาต้องได้ผลอย่างนั้นแน่นอนทีนี้การได้มา เราไม่ฟันธงว่าการได้มาของเขามันแบบว่าที่ว่าทำชั่วมาหรือว่าทำดีมา แต่ถ้ามันมีอำนาจวาสนาบารมี อำนาจวาสนาบารมีมันเป็นกรรมเก่า แต่กรรมใหม่ถ้ามันไปทำอย่างนั้นนะ มันก็ให้ผลอย่างนั้น
ฉะนั้นบอกว่า “สิ่งที่เขาทรัพย์สิ่งนั้นเป็นของของตน เป็นของที่เกิดจากบุญบารมีของเขาแต่ชาติปางก่อนจริงหรือ”
นี่ไง ถ้า “แต่ชาติปางก่อนจริงหรือ” สิ่งที่มันมีโอกาส อำนาจวาสนาบารมีคือโอกาสของตนเข้าไปสู่ตำแหน่งนั้น นี่คืออำนาจวาสนาบารมีของคน แต่การได้มาด้วยความถูกต้องดีงาม นั่นก็เป็นอำนาจวาสนาบารมีที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นความถูกต้องดีงาม แต่ถ้ามันทุจริต มันก็เป็นอำนาจวาสนาบารมีโดยที่เศร้าหมองโดยที่มีผลเป็นลบทั้งนั้นน่ะ
ฉะนั้น “การทำชั่วของเขาเป็นแรงดึงดูดมาจากชาติที่แล้วหรือ”
การทำชั่วของคนหรือทำดีของคนมันเกิดจากตัณหาความทะยานอยาก เกิดจากกิเลสที่มันครอบงำในหัวใจ คนที่มีอำนาจวาสนา อำนาจเป็นอำนาจ อำนาจวาสนาบารมีเป็นเรื่องหนึ่ง กิเลสตัณหาความทะยานอยากในปัจจุบันนี้ที่มันเร้านั้นอีกเรื่องหนึ่ง คนที่ไม่มีอำนาจวาสนาบารมีมา แต่เขามีคุณธรรม เขาไม่มีกิเลสตัณหาเร้าเขา เขาก็ทำแต่คุณงามความดีของเขา แล้วคุณงามความดีมาจิ้มให้เขาเลย คุณงามความดีมาตกใส่เท้าให้เขาเลย ตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์มาตกใส่เท้าก็มี คนดีๆ ยศถาบรรดาศักดิ์ตกใส่เท้าเลย
แต่ถ้าคนที่มันแย่งชิงกันๆ โลกแย่งชิงกัน แล้วพยายามจะสร้างภาพ “ฉันไม่เอา ฉันไม่เอา” แหม! สร้างภาพกันเหลือเกินนะ อันนั้นเป็นเรื่องกิเลสของคน ทีนี้ถ้าเราไม่เป็นกิเลส เราก็ไม่ต้องไปแข่งขันกับใคร ถ้าเราไม่แข่งขันกับใครแล้ว
ฉะนั้น สิ่งที่ว่า “เพราะเป็นแรงดึงดูดในชาติที่แล้วใช่ไหม สิ่งที่เขาเคยครองเขาถึงต้องมาครองอีก ชาตินี้ถึงอยากได้ครอบครองอีก มันเป็นเรื่องไร้สาระ” อันนี้ที่เขาพูดนะ
ถ้าของเรา มันเป็นเรื่องไร้สาระของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตา ดูสิเวลาหลวงปู่แหวนนะ “ไอ้หลังลาย” ท่านบอกว่า “แบงก์คือเศษกระดาษ แบงก์มันเป็นกระดาษที่เปื้อนหมึก” สิ่งที่ไร้สาระกับหัวใจดวงนั้นนะ ถ้าดวงใจดวงนั้นเป็นธรรมนะ เรื่องโลกๆ นี่ไร้สาระเลย เพราะจิตใจนี้มันเหนือโลก
เราเห็นบ่อย แล้วมันสะเทือนใจไง เวลาจะทำคุณงามความดี ขึ้นป้ายกันโอ้โฮ! ทุเรศ จะเข้าฌานสมาบัตินี่ขึ้นป้าย ไอ้นี่มันหลอกลวงทั้งนั้นน่ะ แสดงว่าฌานสมาบัติของมึงมีคุณค่าน้อยกว่าเงินทอง ชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณหรือ
ชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณนี่นะ มันเป็นเรื่องโลกๆ ธรรมะมันเหนือนั้นอีก ถ้าธรรมะเหนือนั้นแล้วมันจะก้มลงมากินของหยาบๆ อย่างนี้หรือ อย่างนี้ต่างหากถึงจะบอกว่าไร้สาระ คำว่า “เรื่องโลกธรรม ๘” มันจะไร้สาระเลยกับจิตใจของครูบาอาจารย์ของเราที่เป็นธรรม ไร้สาระ แต่ทางโลกจริงๆ มันเป็นสาระ คือมันอยากได้คำว่า “ไร้สาระ” ไร้สาระเพราะว่าเราไม่ได้ไง ถ้าเราได้ก็เป็นสาระไง ถ้าเราไม่ได้แล้ว เพราะเราไม่ได้อยู่แล้วใช่ไหม เราถึงบอกว่าไร้สาระไง
คำว่า “ไร้สาระ” เราเห็นด้วยว่ามันไร้สาระ แต่มันไร้สาระของคนที่มีหัวธรรมที่ไม่เจ็บช้ำน้ำใจ
ของเราบอกว่าไร้สาระ แต่บอกว่าทุกคนส่งเสริมเขา ทุกคนยกย่องเขา แล้วบอกว่าไร้สาระ
ไร้สาระเพราะมันหลุดจากมือเราไป ลองได้เป็นของเรา เรื่องนี้ไม่เกิดเลยแสดงว่าสังคมดี ทุกอย่างเป็นของเรา สังคมชื่นชม ถูกต้องดีงามไปหมด
มันจะไร้สาระต่อเมื่อมันมีคุณธรรมในใจ มันเป็นความจริง เรื่องนี้เรื่องไร้สาระมาก โลกธรรม ๘ เป็นเหยื่อล่อให้นักบวชเป็นโมฆบุรุษ โมฆบุรุษตายเพราะลาภสักการะ ยกย่องสรรเสริญ มันเป็นเหยื่อล่อให้ปลาโง่ๆ ให้นักปฏิบัติโง่ๆ ไปติดมันไง มันถึงว่าเป็นไร้สาระ
แต่ของเรานี่นะ เพราะว่ามันไร้สาระ มันก็เลยเขียนมาถามเพราะมันเจ็บช้ำน้ำใจ มันไร้สาระ ไร้สาระเพราะมันเป็นของคนอื่นไง
แต่ถ้าเป็นคุณธรรมนะ มันจะไร้สาระ ไม่มีสาระแก่นสารใดๆ เลย แล้วเราจะไม่แย่งชิง ถ้าเราไม่ไปแย่งชิง เรามีจุดยืนอย่างนี้นะ กิเลสมันหลอกเราไม่ได้ กิเลสมันกระตุ้นให้เราทำความผิดพลาด ให้เรามีเวรมีกรรมมากขึ้นไม่ได้ ถ้าเรามีสาระอย่างนี้นะ กิเลสมันจะกระตุ้นให้เราไปทำอย่างนั้นอีกไม่ได้ไง
จริง เราก็เห็น ครูบาอาจารย์ท่านเห็นอย่างที่ว่า หลวงตาท่านพูดบ่อยนะ ท่านเห็นพวกเราเหมือนกับสัตว์เลยล่ะ คือพูดไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ แต่ถ้าคนมีธรรมะนะมันมีคุณธรรมในใจ มันรู้เรื่อง
นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเขามีความรู้ความเห็นกันอย่างนั้น เขามีความคิดกันอย่างนั้น สังคมเขาเป็นอย่างนั้น เรามีสติมีปัญญา เรารักษาตัวเรานะ เห็นแล้วมันสังเวช จิตใจถ้าเราเป็นธรรมเนาะ เราเห็นคนรังแกกัน เห็นคนเหยียบย่ำกัน เห็นคนทำร้ายกันน่ะ เศร้า จริงๆ นะ เศร้า
แต่ทีนี้พอคนทำ เราศึกษานะ เขาขาดแคลนไง เขาไม่มีจะกินเขาถึงแย่งชิงกันโอ๋ย! มันก็เศร้าเนาะ ทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ทำความชั่วมาเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แล้วยังทำความชั่วเพื่อเวรเพื่อกรรมอีก แต่ถ้าคนมีสติปัญญานะ อดตายเลยไม่มีจะกินก็ไม่กินเว้ย ไม่มีใครเห็นใจก็อด อดจนตาย แต่ถ้ามันทำได้อย่างนี้นะเราก็ไม่ไปสร้างเวรสร้างกรรม
เห็นแล้วเศร้าจริงๆ นะ มันไร้สาระจริงๆ แต่มันไร้สาระต่อเมื่อเราไม่ไปเจ็บช้ำน้ำใจกับเรื่องอย่างนี้ไง เรื่องอย่างนี้มันก็จบไปแล้ว เรื่องที่ว่าเขามาแย่งชิง มันเป็นอำนาจวาสนาบารมีจริงหรือเปล่า แล้วอำนาจวาสนาบารมี กรรม กรรมเป็นอจินไตย แล้วเราจะมองอย่างไรล่ะ
แต่เราก็ยังพูดอยู่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แล้วอาศัยคุณงามความดี ต้องสร้างอำนาจวาสนาบารมี การสร้าง เราไม่ได้สร้างอำนาจวาสนาบารมี เราสร้างบุญกุศลของเรา แต่มันเป็นอย่างนั้นไปเอง มันต้องเป็นไปเอง มันเป็นชื่อเรียก มันเป็นชื่อเรียก แต่เราอยากได้ความดี เราอยากได้บุญ เราอยากได้ความสุข เราอยากได้ความสุข เราอยากได้ความดี ความดีมันจะให้ความสุขกับเรา แล้วถ้ามันเกิดอะไรขึ้น อันนั้นมันเป็นของแถม มันเกิดขึ้นจากการกระทำของเรา แต่เราอาศัยคุณงามความดีของเรา
แล้วไม่ต้องไปน้อยเนื้อต่ำใจทั้งสิ้น ไม่ต้องไปน้อยเนื้อต่ำใจใดๆ ทั้งสิ้น เอาผลกระทบจากคนคนเดียวแล้วจะไปลบล้างหลักการของพระพุทธเจ้า เป็นไปไม่ได้ไอ้ผลกระทบของหัวใจเราคนเดียว ผลกระทบกับหัวใจเราคนเดียวคือผลกระทบของเรา กรรมของเรา แต่การสร้างอำนาจวาสนาบารมี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ ใครจะทำดีทำชั่วเรื่องของเขา เราจะทำคุณงามความดีของเราเพื่อบุญกุศลให้เป็นเครื่องอยู่ของใจเรา เอวัง